วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553


การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ


การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง หลายคนก่อนจะออกกำลังกายมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวกับอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป

โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด

โรคอ้วน

โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง

โรคเครียด

โรคภูมิแพ้

โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

โรคมะเร็ง

การเริ่มต้นออกกำลังกาย


หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่าย วิธีที่ดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวัน เช่น ช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน ขึ้นบันไดหลายขั้น
ขุดดินทำสวนนานขึ้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป


หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย

หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค

เหนื่อยจนเป็นลม

ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย




ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%

การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี

อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง

การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46

สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19

การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

เคล็ดลับการกินอาหารเพื่อสุขภาพ



ตอนนี้ใครที่ไม่สนใจสุขภาพคงจะเชยน่าดู เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่เพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ หรืออาหารเพื่อ สุขภาพ ซึ่งอันหลังนี้เป็นที่นิยมมากในสมัยนี้ แต่จะกินอย่างไรล่ะให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด



1. กินอาหารเช้า
การกินอาหารเช้านั้นจะช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ใครที่ไม่ นิยมกินอาหารเข้าคงหันมากินกันแล้วละเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
ลองเปลี่ยนไปใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ เพราะน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ไม่มีไขมัน ที่เป็นโทษต่อร่างกายและมี กรดไขมันอิ่มตัว ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
คนเราควรดื่มน้ำวันละประมาณ 4-6 แก้วเพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
คุณอาจกินปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว เพราะอาหารประเภทเหล่านี้มีแคลเซียมสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และกระดูก

5. เลิกเสียทีขนมขบเคี้ยว ของจุกจิก
เพราะขนมเหล่านี้มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพของคุณ ถ้าอยากกินของขบเคี้ยวละก็ ให้หันมากินผลไม้แทนจะดีกว่า เพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า

6. กินธัญพืชและข้าวกล้องกันเถิด
เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่คุณ ๆ มักคิดว่าเป็นอาหารนก ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะอาหารนกที่ว่านั้น สามารถลดคลอเลสเทอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุลได้

7. เปลี่ยนชนิดของผักผลไม้ซะบ้าง
พยายามกินผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสีอย่ายึดติดอยู่กับการกินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะพืชต่างสีกันสารอาหารก็จะต่างชนิดกัน

8. หันมารักปลากันดีกว่า
กปลาในที่นี้ไม่ใช่ให้หันมาเลี้ยงปลานะ แต่หมายถึงให้หันมากินปลาต่างหาก เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และให้โปรตีนที่ช่วยควบคุมการเต้นของ หัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมองที่สำคัญยังมีไขมันน้อยอีกด้วย

9. กินถั่วเป็นประจำ
ในถั่วมีวิตามินและแร่ธาติที่สำคัญ ๆ อยู่หลายชนิด ดังนั้นเราควรที่จะกินถั่วอย่างสม่ำเสมอเพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง
ถ้าปฏิบัติตามที่เรากล่าวมา รับรองว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดีแน่ ๆ ไม่เชื่อลองทำดูซิ


การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละวัน และรับประทานอาหารแต่พอควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

2. รับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัยและปรุงสุกใหม่ ๆ

3. ไม่รับประทานอาหารพร่ำเพรื่อ จุกจิก และทานให้ตรงเวลา

4. รับประทานอาหารประเภทไขมันให้พอเหมาะ เพื่อป้องกันการสะสมไขมันมากเกินไป

5. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยระบบการขับถ่ายและลดไขมันในเส้นเลือด

6. ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัดจนเกินไป เช่น หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหารและอาจก่อให้เกิดโรค เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ

7. ระมัดระวังการรับประทานอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภททอด ย่าง เผา หรืออาหารที่ไหม้เกรียม

8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคตับแข็ง โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง ฟันผุ โรคเบาหวาน เป็นต้น

9. ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาและสม่ำเสมอ

กินผัก รักษาศีล รักษาสุขภาพ

ทุกวันนี้มีการรณรงค์ให้ประชาชนหันมากินผักเพื่อรักษาสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์-วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อต่างๆ เน้นว่าการกินผักจะทำให้รูปร่างดี ไม่อ้วน ไม่เจ็บไข้ง่าย ในประเทศไทยเองมีงานเทศกาลถือศีลกินผักกันหลายจังหวัด เช่น จังหวัดตรัง ที่กำลังจะพูดถึงนี้ เป็นต้น
"เทศกาลกินผัก" หรือ "เทศกาลกินเจ" (เจี๊ยะฉ่าย) ชาวไทยเชื้อสายจีนมักจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมเป็นประจำทุกปี เพื่อเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ รักษาศีลห้า เทศกาลกินผัก เข้ามาในประเทศไทยประมาณ 170 ปี เทศกาลนี้ใครๆ ก็รู้จักไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนไทย เพราะเป็นเรื่องที่ดีมากต่อสุขภาพ ว่ากันว่าหากใครคิดกินผักในเทศกาลนี้ โดยไม่กินเนื้อสัตว์ ถือว่าจะได้รับอานิสงส์อย่างแรง คือสุขภาพร่างกายดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เหมือนล้างพิษที่สะสมมาจากเนื้อสัตว์ในร่างกายให้ออกไป และยังไดัรับผลบุญจากการรักษาศีล ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งดีๆ แบบนี้ จึงมีผู้สนใจจัดงานขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จังหวัดตรัง ก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่จัดเทศกาลกินผักเหมือนกัน และทำกันมานานเป็นประเพณี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2447 เริ่มจากชาวจีนโพ้นทะเล ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ชาวจีนเหล่านี้จะนับถือเทพเจ้า เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ภายใต้จิตสำนึก แต่ที่จังหวัดตรังไม่เหมือนที่อื่น คือเป็นเทศกาลกินผัก ไม่ได้กินเจ ถือแค่ศีล 5 ไม่ถึงกับถือศีล 8 และเน้นกินผักแบบล้างพิษ เรียกว่าเน้นกันที่ผักจริงๆ
"คนนครตรังกินผักมาประมาณ 100 ปีแล้ว แต่การถือศีลกินผักของคนตรังไม่พูดว่ากินเจ เพราะไม่ได้กินเจ แต่กินผัก คำว่ากินผักกับกินเจต่างกันนิดเดียว คือกินผักถือศีล 5 ถ้ากินเจถือศีล 8 การกินผักเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจุบันมีการทำดีท็อคซ์ (detox) หรือล้างพิษออกจากร่างกาย
แต่สำหรับคนโบราณ การล้างพิษคือการล้างท้องเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นโรคต่างๆ และเป็นการทำบุญ เพราะที่ผ่านมาฆ่าสัตว์มามาก การกินผัก 10 วันจึงช่วยให้สัตว์ไม่ต้องตายไปหลายร้อยชีวิต" นายกเทศมนตรีเมืองตรังอธิบาย
"ปัจจุบันเป็นที่น่าภูมิใจมากเพราะมีคนกินผักกันตั้งแต่รุ่นเด็กๆ วัยรุ่นก็หันมากินผักมากขึ้น การถือศีลกินผักในเทศกาลกินผักของคนตรังนั้น ไม่ยากเย็นอะไร ถ้าใครต้องการกินผักแต่ไม่ต้องการทำอาหารเอง สามารถไปติดต่อที่ศาลเจ้าต่างๆ ที่อยู่ในนครตรัง เพียงแจ้งชื่อ ที่อยู่ ก็จะมีการจัดปิ่นโตอาหารผักส่งไปให้ในราคาถูก และจะมีการนำชื่อของคนที่สั่งอาหารผักไปสวดทุกวันเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สิ่งหนึ่งที่ทางเทศบาลนครตรังรณรงค์ก็คือ ให้คนตรังไม่กินเป็ดปลอม ขาหมูปลอม ให้เน้นกินผักล้วนๆ อย่ากินแป้งมาก
"ปกติแล้วคนตรังจะเป็นโรคไขมันอุดตันมากที่สุด ขนาดคนป่วยจากจังหวัดตรังไปรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอหาดใหญ่ แพทย์จะทักทันทีว่ามาจากตรังอีกแล้วใช่ไหม ผมก็พยายามให้ความรู้ในเรื่องกินผักตลอด
การที่คนตรังเป็นโรคไขมันอุดตันมาก ก็เพราะชอบกินของมันๆ คือหมูย่าง เป็นอาหารยอดนิยมของคนตรังมานานแล้ว ซึ่งเฉลี่ยแล้วคนตรังจะใช้หมูทำอาหารเฉพาะในเขตเมืองวันละ 100 กว่าตัว ดังนั้นถ้าหากมีการกินผักกันในเมืองตรังทั้งเมืองก็จะทำให้หมูไม่ถูกฆ่านับพันตัว" นายกเทศมนตรีแจกแจง





การดูแลสุขภาพตนเอง


โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่
การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม
การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ปัญหาสายตาในเด็ก




ท่านสามารถทราบได้ว่าบุตรหลานของท่านมี สายตาสั้น เมื่อพวกเขามองสิ่งต่างๆ จะต้องมองในระยะใกล้มากๆ เช่น นั่งดูโทรทัศน์ติดหน้าจอ หรือเมื่ออ่านหนังสือก้มศีรษะจนเกือบติดหนังสือ พวกเขาอาจหรี่ตาหรือเอียงศีรษะเมื่อต้องมองสิ่งที่อยู่ไกล หรือบางคนอาจมีอาการตาเหล่ได้ ถ้าบุตรหลานของท่านมีอาการดังกล่าวเหล่านี้ ท่านควรพาไปพบจักษุแพทย์โดยทันที ยิ่งได้รับการตรวจเร็วเท่าไร ก็จะส่งผลดีเท่านั้น พ่อแม่ส่วนใหญ่มีความเข้าใจที่ผิด เกี่ยวกับการใส่แว่นสายตาว่าจะทำให้สายตาแย่ลง แต่ในความเป็นจริงแล้วการใช้อุปกรณ์ ช่วยในการมองเห็น เช่น แว่นสายตาตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยให้บุตรหลานของท่านสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีกว่าและมีการมองเห็น ที่ชัดเจนกว่า

อาการตาเหล่ในเด็ก

ท่านเคยสังเกตดวงตาของบุตรหลานของท่านหรือไม่ เมื่อมองตรง ดวงตาของพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือว่าดวงตาของพวกเขาเหล่เล็กน้อย ตาเหล่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาในแต่ละข้างซึ่งไม่สามารถปรับความสมดุลย์ได้ อาจเกิดจากดวงตาถูกดึงเข้าหากัน หรือ ห่างออกจากกัน
หากเด็กที่มีอาการตาเหล่ได้รับการรักษาเร็วเท่าไร ก็จะส่งผลดีเท่านั้น หากไม่ได้รับการรักษานอกจากทำให้บุคลิกภาพไม่ดีแล้วยังทำให้ไม่สามารถใช้สายตาทั้งสองข้างได้พร้อมกันอีกด้วย ซึ่งสามารถทำให้ตาข้างหนึ่งเป็นตาขี้เกียจ ที่ไม่สามารถมองเห็นในระดับปกติได้อีก หากท่านสงสัยว่าบุตรหลานของท่านมีอาการตาเหล่ ท่านควรพาไปพบจักษุแพทย์ทันที

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ข้อเสนอแนะสำหรับวัยรุ่น




ข้อเสนอแนะสำหรับวัยรุ่นถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน




1 มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและรับผิดชอบ


คือทั้งวัยรุ่นหญิงและชายจะต้องไม่ติดโรคกันและกัน ถ้าเป็นวัยรุ่นหญิงจะต้องไม่ให้ตัวเองท้อง วัยรุ่นชายต้องไม่ทำให้แฟนท้อง เพราะต่างยังไม่สามารถรับผิดชอบต่อเด็กที่จะเกิดมาได้ ไม่เป็นการยุติธรรมเลยสำหรับเด็กที่จะเกิดมา หรือถ้าพูดแบบไทยๆ น่าจะเป็นบาปที่มีลูกแล้วไม่สามารถเลี้ยงดูเขาและให้โอกาสที่ดีกับชีวิตของเขา ฉะนั้นต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่า"ถุงยางร้อยเปอร์เซ็นต์"




2 ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าจะเกิดความขัดแย้งไม่สบายใจตามมาภายหลังหรือไม่


เช่น รู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่ไม่ยอมรับค่านิยมแบบนี้แน่ๆ และตัวเองแล้วที่จริงก็ไม่ยอมรับ ถ้าทำไปแล้วจะรู้สึกตัวเองด้อยคุณค่าลงหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกใช้หรือไม่ โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงต้องคิดให้ดี เพระโดยธรรมชาติอาจมีข้อเสียเปรียบทางด้านสรีระร่างกายเมื่อเทียบกับวัยรุ่นชาย เพราะการมีเพศสัมพันธ์ใหม่ๆ ครั้งแรกๆ ฝ่ายหญิงส่วนใหญ่มักไม่มีความสุขจากเพศสัมพันธ์ อาจมีความเจ็บปวดด้วยซ้ำไป ถ้าคู่ของตัวกระทำรุนแรงไม่อ่อนโยน หรือมไม่เข้าใจธรรมชาติของเพศหญิง แต่วัยรุ่นชายส่วนใหญ่น่าจะไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมชาติของเพศหญิง เพราะตัวเองก็อายุน้อย ประสบการณ์ชีวิตยังน้อยเช่นกัน